Archive for 2017

บที่ 9 

การจัดเรียงข้อมูล Sorting

ความสำคัญของการจัดเรียงข้อมูล 
การจัดเรียงข้อมูล เป็นการจัดการข้อมูลที่กระทำกันมากในงานประยุกต์ต่างๆ  เช่น การทำข้อมูลนักศึกษามาจัดเลียงลำดับรหัสนักศึกษา เพื่อนำไปใช้ในการพิมพ์ใบเซ็นชื่อเข้าสอบหรือการเรียงข้อมูลพนักงานตามรหัสพนักงานเพื่อใช้งการพิมพ์สลิปเงินเดือน เป็นต้น

การจัดเรียงข้อมูลแบบแทรกใส่ Insertion Sort
จะมีลักษณะเป็นแบบการจัดไพ่ในมือของผู้เล่น คือ มีผู้เล่นได้ไพ่ใบไหม่ เพิ่มขึ้นมา จะนไพ่ใบนั้นไปแทรกในำแต่งที่เหมาะสม ทำให้ไพ่ในมือบ่างส่วนต้องขยับตำแหน่งออกไป ซึ่งการจัดเรียงลำดับข้อมูลแบบแทรกนิจะเริ่มพิจารณาคีย์ในตำแหน่งที่ 2 เป็นต้นไป โดยนำคีย์พิจารณาไปแทรกในตำแหน่งที่ถูกต้องและจะมีผลคีย์ให้ตำแหน่งที่อยู่หลังตำแหน่งที่แทรกขยับตำแหน่งออกไปเรื่อย ๆ
หลักการทำคือ จะอ่านข้อมูลมาที่ละตัว แล้วนำไปแทรกลงในจตำแหน่งที่เหมาะสมบนแถวข้อมูบไหม่ที่เตี่ยมไว้จะมขั้นตอนดังนี้
  1. สร้งแถวข้อมูลมาไหม่ที่มีขนาดเท่ากับจำนวนข้อมูลที่ต้องการจัดเรียง
  2. อ่านข้อมูลแรกแล้วไส่ลงในตำแหน่งแทรกในแทวข้อมูลไหม่
  3. อ่านข้อมูลทัดไปมา 1 ตัวแล้วเปรียบเทียมกับข้อมูลไหม่ที่ละตัว ตั้งแต่ตัวแรกไปจนถึงตัวสุดท้าย เพื่อหาตำแหน่งที่เหมาะสมในแถวข้อมูลไหม่โดยถ้าข้อมูลที่อ่านมาน้อยกว่าข้อมูลใดในแถวก็จะเลื่อนข้อมูบในแถวตั้งแต่ข้อมูลนั้นไป แล้วใส่ข้อมูลที่อ่านเข้ามาลงในตำแหน่งนั้น ถ้าข้อมูลทั้งหมดในแถวน้อยกว่าข้อมูลที่อ่านมาก็จะใส่ข้อมูลที่อ่านมาไว้ทัดจากข้อมูลตัวสุดท้ายในแถว
  4. ทำซ้ำข้้นตอนที่ 3 จนครบทั้งชุดข้อมูล
ตัวอย่าง
{23, 78, 45, 8, 32, 56}


การเรียงลำดับแบบแทรก จะมีการเรียงลำดับข้อมูลทั้งหมด n-1 รอบ 
กรณีที่ดีที่สุด ข้อมูลถูกจัดเรียงลำดับเรียบรอยแล้ว กรณีแต่ละรอบจำมีการเปรียบเทียบคีย์เพียงครั้งเดี่ยว เพราะฉะนั้นจำนวนการเปรียบเทียบคีย์คือ n-1 
กรณี่แย่ที่สุด ข้อมูลถูกจัดเรียงลำดับกลับกัน คือ เรียงลำดับค่าคีย์จากมากไปห้าน้อย (ในกรณีที่ต้องการจัดเรียงลำดับจากน้อยไปหากมาก)
การจัดเรียงข้อมูลแบบเลือก Selection Sort
จะเป็นการเรียงลำดับข้อมูลที่เรียงงายตรงไปตรงมา การทำงานของแต่ละรอบของวิธีนี้จะค้นหาหรือสแกนค่าตัวเลขที่มาค่าน้อยที่สุดภายในลิสต์โดยในรอบแรกจเริ่มต้นสแกนค้นหาตั้งแต่ตัวแรกจนถึงต้วสุดท้าย หลังจากที่ได้พบตำแหนงของค่าที่น้อยที่สุดแล้ว ก็จะทำการสะลับตำแหน่งกัน จากนั้นในรอบต่อไปก็จะขยับตำแหน่งไปยังตัวถัดไป ซึ่งก็คือ ตัวที่สอง และทำการสแกนข้อมูลที่มีค่าน้อยทีสุดตั้งแต่ตัวที่สองจนถึงตัวสุดท้าย เมื่อพบแล้ว ก็จะสลับตำแหน่งกันเช่นเคย โดยจำทำเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ จนครบทุกตัว ก็จะได้ชุดข้อมูลที่จัดเรียงสมบูรณ์
ขั้นตอนในการทำ

  • เริ่มจาก เลือกค่าของข้อมูลที่มีค่าน้อยที่สุด
  • นำมาแลกเปลี่ยกับค่าในตำแหน่งแรกสุดของกลุ่ม
  • หลังจากนั้นกระทำตามหลักการทั้ง 2 กับข้อมูลที่เหลื่อ คือ ครั้งที่ 2 ค่า A(2) จะถูกแลกกับค่าที่เหลือกแล้วว่าน้อยที่สุดในลิสต์ A(2)....A(n)
  • และครั้งที่ 3 ค่า  A(3) จะถูกแลกกับค่าที่เลือกแล้วว่าน้อยที่สุดในลิตส์ A(3)....A(n)
  • และเรียงไปจนกระทั่งเลือข้อมูลที่ถูกเปรี่ยบเทียบแค่  2 ค่าคือ A(n-1) และ A(n) ดั้งนั้นจำนวนรอบในากรกระทำเป็น n-1 รอบ

ตัวอย่าง

{44, 33, 11, 85, 77, 60}




เป็นการเรียงข้อมูลแบบ  Selection Sort เป็นวิธีเรียบง่าย แต่ก็เป็นวิธีที่มีจำนวนรอบการทำงานมากที่สุด ดั้งนั้นหากข้อมูลดอินพุตมีประริมาณมาก การเรียงข้อมูลด้วยวิธีนี้จึงไม่เหมาะเท่าไร

การจัดเรียงข้อมูลแบบฟองอากาศ Bubble Sort
เป็นการเรียงลำดับข้อมูลด้วยการเปรียบเทียบข้อมูลเป็นคู่ที่ติดกันในแต่ละรอบ การทำงานเพื่อสลับตำ แหน่งกัน โดย
  1. ใช้เปรี่ยบเทียบคีย์ที่อยู่ติดกันทีละคู่
  2. ถ้าคีย์ที่เปรียบเทียบไม่อยู่ในตำแหน่งที่ต้องการสลับที่กัน
  3. ทิศทางการทำงานอาจจะทำจากคู่ซ้ายไปหาขวา หรือคู่ขวาไปหาซ้าย
  4. ในแต่ระรอบที่เปรียบเทียบ คีย์ที่มีค่ามากจะถูกสลับไปตำแหน่งท้าย กรือคีย์ที่มีค่าน้อยจะถูกสลับไปยังตำแหน่งตอนบน(จะเลือกเปรียบเทียบจากขวามาซ้าย หรือซ้ายไปหาขวาก็ได้)
  5. ข้อมูลที่มีค่ามากกว่าสลับไปตอนท้ายของข้อมูล
  • การทำงานจะแบ่งลิตส์ออกเป็นสองส่วน คือส่วนที่จัดเรียงแล้วอยู่ฝั่งซ้ายและส่วนที่ยังไม่จัดเรียงจะยอู่ฝั่งขวา
  • ในแต่ระรอบการทำงานจะมีการเปรียบเทียบค่าในแต่ละคู่ที่อยู่ติดกัน
  • การทำงานเริ่มต้นที่ท้ายลิสต์ (เรียงจากน้อยไปมาก) และจะสลับค่าเมืออยู่ผิดลำดับ ซึ่งจะทำไปเรื้อย ๆ จากนั้นค่าที่น้อยทีสุดจะถูกขยับขึ้นไปเก็บไว้ในฝั่งลิสต์ที่ได้จัดเรียงแล้ว
  • กำแพงที่ทำหน้าที่ตำแหน่ง ดรรชนีจะเพิ่มค่าอีกหนึ่งด้วยการขยับไปทางขวาอีกหนึ่งตำแหน่งเพื่อจะได้จัดการเปรียบเทียบกับค่าที่ยังไม่ได้จัดเรียง   จนกว่าข้อมูลในลิสต์จะถูกจัดเรียงหมด
ตัวอย่าง
{23, 78, 45, 8, 32, 56}



การจัดเรียงข้อมูลโดยใช้ฮีพ Heap Sort

Heap Sort หรือบางครั้งเรียกว่า Tree Sort จะอาศัยโครงสร้างข้อมูล แบบ Binary Tree แต่กแตกกิ่งก้านของโหนดในต้นไม้จะต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไข ต่อไปนี้น
  • ที่ทุกระดับของ  Heap  จะแตกสาขาออกไปได 2  ทาง  คือทางซ้ายและ ทางขวา
  • จะต้องมีโหนดในระดับบนครบ 2  ด้านก่อน   จึงจะแตกโหนดต่อในระดับล่างได้
  • การแตกโหนดออกไปนั้นจะต้องเริ่มทางด้านซ้ายก่อน  จึงจะแตกไปทางด้านขวาตามลำดับ
  • ค่าคีย์ของโหนด  จะต้องถูกจัดในลักษณะที่ว่า  โหนดตัวบน (FATHER)จะต้องมีค่าของคีย์สูงกว่าโหนดตัวล่าง  (SON)
ขั้นตอนการเรียงลำดับข้อมูล
  1. สร้างไบนารีทรี 
  2. สร้างฮีป  โดยให้โหนดแม่มีค่ามากกว่าโหนดลูกเสมอ
  3. สลับข้อมูลในตำแหน่งท  1  กับตำแหน่งที่  n แล้วตัดข้อมูลในตำแหน่ง ที่ n ออก 
  4. ปรับทรีที่เหลือให้เป็นฮีป   โดยทำการเปรียบเทียบโหนดลูกสองโหนดพร้อมกันในแต่ละระดับ  ถ้าโหนดลูกโหนดใด   มีค่ามากกว่าก็ให้สลับตำแหน่งกับโหนดแม่ 
  5. สลับข้อมูลในตำแหน่งที่ 1กับตำแหน่งที่ n -1
  6.  ปรับทรีที่เหลือให้เป็นฮีป
  7. ทำวนไปอย่างนี้ เรื่อย ๆ  จนกระทั่งถึงการสลับข้อมูลในตำแหน่งที่ 1 กับ ตำแหน่งที่ 2  ก็จะได้ข้อมูลที่เรียงลำดับจากน้อยไปมากตามต้องการ

ตัวอย่าง























การจัดเรียงข้อมูลโดยการรวม ข้อมูลเข้าด้วยกัน Merge Sort
เป็ นการเรียงลำดับที่อาศัยหลักการ  Divide and Conquer โดยจะแบ่ง ข้อมูลออกเป็ น 2 ส่วน ซึ่งแต่ละส่วนจะแบ่งย่อยข้อมูลเป็ นอีก 2 ส่วนเรื่อยไป จนกระทั่งไม่สามารถแบ่งได้อีก   แล้วจึงเรียงลำดับข้อมูลแต่ละส่วนย่อย  จากนั้นนำข้อมูลข้อมูลแต่ละส่วนย่อยมารวม (Merge) เข้าเป็นข้อมูลชุดเดียวกันพร้อมทั้งเรียงลำดับ
ตัวอย่าง


การจัดเรียงข้อมูลแบบเร็ว Quick Sort
เป็ นการเรียงลำดับที่อาศัยหลักการ Divide and Conquer โดยจะแบ่ง  ข้อมูลออกเป็น 2 ส่วน ซึ่งแต่ละส่วนจะแบ่งย่อยข้อมูลเป็นอีก 2 ส่วนเรื่อยไป จนกระทั่งไม่สามารถแบ่งได้อีก แล้วจึงเรียงลำดับข้อมูลแต่ละส่วนย่อย จากนั้นนำ  ข้อมูลแต่ละส่วนย่อยมารวม (Merge) เข้าเป็นข้อมูลชุดเดียวกันพร้อมทั้งเรียงลำดับข้อมูล

ตัอวอย่าง

3 9 1 2 6 7 5 4 8 //Start
3 4 1 2 5 7 6 9 8
1 4 3 2 5 7 6 9 8
1 2 3 4 5 7 6 9 8
1 2 3 4 5 6 7 9 8
.1 2 3 4 5 6 7 8 9
  1. .เลือก pivot มา 1 ตัว (นิยมตัวกลาง หรือสุ่ม) 
  2. เตรียมตัวชี้ ไว้ 2 ตัว ตัวนึงชี้ ซ้าย ตัวนึ่งชี้ ขวา
  3. ตัวชี้ ซ้าย ให้ไล่ไปทางขวาเรื่อยๆ จนกว่าเจอตัวที่มากกว่าหรือเท่ากับ pivot
  4.  .ส่วนตัวขวา ให้ไล่ไปทางซ้ายเรื่อยๆ จนกว่าเจอตัวที่น้อยกว่าหรือเท่ากับ pivot 
  5. จับตัวที่ตัวชี้ ทั้ง 2 ชี้ อยู่ สลับที่กัน แล้วขยับตัวชี้ ทั้ง 2 เข้าหากัน 1 ต าแหน่ง
  6.  ถ้าเกิดตัวชี้ ทั้ง 2 ยังไม่ไขว้กัน กลับไปท าข้อ 3 ไปเรื่อยๆ
  7. .ถ้าไขว้กันแล้ว แบ่งฟาก เรียงฟากซ้ายก่อน แล้วเรียงฟากขวา



การจัดเรียงข้อมูล Sorting

Posted by : Unknown
วันอาทิตย์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2560
2 Comments
บทที่ 8

Searching

การค้นหาข้อมูลแบบ

Introduction to Searching
เป็นการค้นหาข้อมูลที่มีประสิทธิภาพนั้น ขึ้นอยู่กับหลักการค้นหา รวมถึงขั้นตอนของการค้นหานั้น การค้นหาข้อมูลพื้นฐานมีหลากหลายวิธี เช่น การค้นหาข้อมูลแบบลำดับ การค้นหาข้อมูลแบบทวิภาค และการค้นหาข้อมูลแบบแฮชชิง

          การใช้เทคนิคการค้นหาข้อมูลแบบใดต้องดูลักษณะของงาน ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถตัดสินใจเลือกเทคนิคการค้นหาข้อมูลที่เหมาะสมได้
วิธีการค้นหาแบบลำดั(Sequential Search)
การค้นหาข้อมูลแบบลำดับ เป็นการค้นหาในลักษณะแบบเชิงเส้น เป็นวิธีที่ง่ายที่สุด เหมาะกับการประมวลผลข้อมูลที่มีจำนวนปริมาณข้อมูลไม่มากนัก
ขันตอนในการค้นหาแบบลำดับ
1.ให้ข้อมูลตัวแรกของข้อมูลที่นำมาค้นหา เป็นข้อมูลพิจารณา
2.นำข้อมูลตัวที่ต้องการค้นหาไปเปรียบเทียบว่าเท่ากับข้อมูลที่พิจารณาหรือไม่
         • ถ้าเท่ากัน แสดงว่าพบข้อมูลตัวที่ต้องการค้นหาในตำแหน่งของข้อมูลที่พิจารณา ซึ่งถือว่าการค้สมบูรณ์
ถ้าไม่เท่ากัน ให้นำข้อมูลลำดับถัดไปจากข้อมูลที่พิจารณาไปเป็นข้อมูลที่พิจารณา แล้วกลับไปทำข้อ 2
ตัวอย่างการทำ
จากข้อมูลต่อไปนี้ จงค้นหาข้อมูล 14 ด้วยวิธีการค้นหาข้อมูลแบบลำดับ
44, 17, 40, 32, 11, 14, 28, 24
Key = 14

            รอบที่ 1 key # Data[0]

                                               
                                          14#44
                  รอบที่ 2 key#Data[1]

                                             
                                              14
                          รอบที่ 3 key#Data [2]

                                                                 ↑
                                                             14#40
                   รอบที่ 4 key#Data[3]

                                                                           
                                                                      14#32
                   รอบที่ 5 key#Data[4] 

                                                                                   
                                                                              14#11
                   รอบที่ 6 key#Data[5]

                                                                                             ↑
                                                                                        14#14

การค้นหาข้อมูลแบบทวิภาค (Binary Search)

การค้นหาข้อมูลแบบทวิภาค จะใช้สำหรับค้นหาข้อมูลที่มีการจัดเรียงลำดับแล้วเท่านั้น เพราะจะมีการนำข้อมูลตัวที่ต้องการค้นหาไปเปรียบเทียบกับค่าที่อยู่ตำแหน่งกึ่งกลางของข้อมูลที่นำมาค้นหา ถ้าเท่ากัน แสดงว่าพบข้อมูล แต่ถ้าไม่เท่ากันก็แสดงว่าข้อมูลตัวที่ต้องการค้นหาอยู่ส่วนก่อนหน้า หรือส่วนหลังของตำแหน่งกึ่งกลาง

ตัวแปรที่เกี่ยวข้องอยู่ 3 ตัวแปร คือ
1. ตัวแปร First หรือ ตำแหน่งเริ่มต้น เป็นตัวแปรที่ใช้สำหรับกำหนดตำแหน่งเริ่มต้น
2. ตัวแปร Mid หรือ ตำแหน่งกึ่งกลาง ใช้สำหรับกำหนดตำแหน่งกึ่งกลาง
3. ตัวแปร Last หรือ ตำแหน่งสุดท้าย ใช้กำหนดตำแหน่งสุดท้ายของลิสต์
ตัวอย่าง
จากข้อมูลต่อไปนี้ จงค้นหาข้อมูล 28 ด้วยวิธีค้นหาแบบทวิภาค
11, 14, 17, 24, 28, 32, 40, 44
Key = 28 รอบที่ 1   Mid   = (First + Last) / 2  = (0+7)/2= 3

                                  First               Mid                    First 
                                  Key > data[mid] เพราะฉะนั้น First = [4] และ Last = [7] 

11, 14, 17, 24, 28, 32, 40, 44
Key = 28
รอบที่ 2   Mid   = (First + Last) / 2
  = (4+7)/2
  = 5
                                                             First Mid         First                                              
                     Key > data[mid] เพราะฉะนั้น First = [4] และ Last = [7]
11, 14, 17, 24, 28, 32, 40, 44
Key = 28    รอบที่ 3   Mid   = (First + Last) / 2
  = (4+4)/2
  = 4
                                                            First
                                                            Mid 
                                                            First 
                     Key < data[mid] เพราะฉะนั้นพบข้อมูลที่ดรรชนี เท่ากับ 4

การค้นหาแบบทวิภาค สามารถปรับให้อยู่ในรูปแบบโครงสร้างต้นไม้ได้ ซึ่งจะเรียกว่า Binary Search tree ซึ่งมีคุณสมบัติดังนี้
1.ทรีย่อยทางซ้าย หรือโหนดทางซ้ายทุกตัวต้องมีค่าน้อยกว่ารูทโหนด
2.ทรีย่อยทางขวาหรือโหนดทางขวาทุกตัวต้องมีค่ามากกว่าหรือเท่ากับรูทโหนด
3.ทุก ๆ ทรีย่อย ต้องเป็นไบนารีเสิร์ชทรี
การค้นหาข้อมูลแบบแฮชชิง (Hashing Search)
การค้นหาข้อมูลแบบแฮชชิง หมายถึง การค้นหาข้อมูลที่ถูกจัดเก็บในตารางแฮช (Hash Table) โดยการนำคีย์ข้อมูล (Key) ที่ต้องการค้นหาไปผ่านกระบวนแฮช (Hash Function) เพื่อให้ทราบตำแหน่งที่ใช้ในการเก็บข้อมูล
วิธีการค้นหาข้อมูลแบบแฮชชิงมีคือ
ตารางแฮช คือ ตารางที่ใช้ในการเก็บข้อมูล โดยจะนำคีย์ข้อมูลไปผ่านกระบวนการแฮช เพื่อให้ได้ตำแหน่งที่จะใช้ในการจัดเก็บข้อมูลในตารางแฮช
  กระบวนการแฮช คือ การแปลงค่าคีย์ข้อมูลให้กลายเป็นตำแหน่งที่ใช้ในการจัดเก็บข้อมูลในตารางแฮช ซึ่งมีหลายวิธีด้วยกัน แต่วิธีที่นิยมใช้กันมาก คือ วิธีมอดุโลดิวิชั่น (Modulo Division) ซึ่งเป็นวิธีที่นำค่าคีย์ข้อมูลมาหารแบบมอดุโล (Modulo : %) ด้วยขนาดของตารางที่ใช้ในการเก็บข้อมูล โดยเศษที่เหลือจากการหาร ก็คือ ตำแหน่งที่ใช้ในการเก็บข้อมูลนั่นเอง
ต้ัออย่าง

การเก็บข้อมูลในตารางแฮช จะมีข้อเสีย คือ มีการชนกันของข้อมูล (Collision) กล่าวคือ คีย์ข้อมูลต่าง ๆ เมื่อนำมาผ่านกระบวนการแฮชแล้วได้ตำแหน่งข้อมูลเดียวกัน





Searching

Posted by : Unknown
วันเสาร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2560
0 Comments

บทที่ 7

โครงสร้างข้อมูลแบบกราฟ
กราฟเป็นโครงสร้างข้อมูลที่มีการนำไปใช้ในงานที่เกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหาที่ค่อนข้างซับซ้อน เช่น วางข่ายงานคอมพิอเตอร์วิเคระห์เส็นทางวิกฤติ และปัญหาเส้นทางที่สั้นที่สุด เป็นต้น

Graph

Posted by : Unknown
วันพฤหัสบดีที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2560
0 Comments
บทที่ 6
โครงสร้างข้อมูลแบบต้นไม้ Tree
ความหมาย ทรีหมายถึงโครงสร้างที่มีความสำพันธ์ในลักษณะลำดับชั้น ชมาชิกแต่ล่ะโหนดล้วนมีความสำพันธ์กันในลักษณะเหมือนครอบครัวเดี่ยวกันโดยมีโหนดพ่อซึ่งอยู่ระดับเหนือกว่ามีเส้นเซื่ยมโยงจากโหนดพ่อไปอย่างโหนดที่อยู่ในระดับต่ำมากกว่าที่เรียกว่าโหนดลูก


องค์ประกอบของทรีประกอบด้วย


  • โหนดราก (Root Node) คือโหนด A ซึ่งโหนดรากหรือรูทโหนดถือเป็นโหนดแรกสำรับโครงสร้างทรีเป็นโหนดเริ่มต้นเพื่อขยายลูกหลานต่อไป
  • โหนดพ่อ (Parents) คือโหนด A,B และ F ก็คือโหนดที่มี Successor
  • โหนดลูก (Children) B,E,F,C,D,G,H และ I ซึ่งก็คือโหนดที่มี Predecessor
  • โหนดพี่น้อง (Siblings) คือโหนด {B,E,F},{C,D}และ {G,H,I}
  • โหนดใบ (Leaf Node) คือโหนด C,D,E,G,H และ I ซึ่งก็คือโหนดที่ไม่มี Successor

การสร้างต้นไม้แบบใบนาทรี (Binary Tree) 

ใบน่าทรี หมายถึง ทรีที่มีโหนดลูกไม่เกินสองโหนดจะประกอบด้ายโหนดลูกทางซ้าย (Left child) และโหนดลูกทางขวา (Right child) โหนดลูกอ่าจเป็นที่ย่อยก็ได้ ซึ่งแบ่งออกเป็นทรีย่อยทางซ้ายและทรีย่อยทางขวา และโหนดลูกแต่ละโหนดอาจมีโหนดลูกเพี่ยงด้านซ้ายหรือด้านขวาด้านเดี่ยวก็ได้ สำรับโหนดของทรีที่มีจำนวนเป็น 0 เรี่ยกว่า ทรีว่าง (Empty Tree)
ตัวอย่าง



การสร้างใบนาทรีแบบสมบูรณ์
เป็นการสร้างต้นไม้ใบนารีแต่ละโหนดภายในมีโหนดย่อยซ้อยและขวา(มั่นคือแต่ละโหนดภายใน lett son และ right son) และโหนดใบ (leaf nodes) ทั้งหลายอยู่ในระดับที่ n รูป 
ตัวอยู่างในนารีสมบูรณ์ที่มี 3 ระดับ

การเปลี่ยน  Tree เป็น  Bineeary Tree


  1. พิจารณากิ่งที่อยู่ทางซ้ายสุดที่อยู่ใต้พ่อเดี่ยวกัน
  2. ต่อกิ่งของโหนดทางซ้ายสุดในขั้นที่ 1 ไปทางขวาทางลำดัยอาวุโสกับพี่น้องที่เกิดจากพ่อเดี่ยวกัน
  3. ทำขั้นที่ 1 และ 2 จนครบทุกโหนด
  4. ปรับมุ่มของแต่ละกิ่ง ประมาณ 45 องศา

ตัวอย่าง

การท่องผ่าน Binary

เป็นการเข้าไปในโครงสร้างต้นไม้เพื่อสร้างข้อมูลในโหนดมาแสดง หรื่อเพื่อการค้นหา การประมวลผลและการเดินเยี่ยมโหนดจะมี 3 ขั้นตอนดั่งนี้

  1. Inorder traversel หรือ smmyetrit order จะทำการเยี่ยมโหนดในต้นไม้ย่อยทางซ้ายแบบอินออเดอร์ กอนเยี่ยมโหนดรากและเยี่ยมโหนดในต้นไม้ย่อยทางขวาแบบอินออเดอร์ (Root/Left/Right)
  2. Preorder traversel จะทำการเยี่ยมโหนดรากก่อนเยี่ยใโหนดในต้นไม้ย่อยทางซ้ายแบบพรีออเดอร์ และเยี่ยมโหนดในต้นไม้ย่อมทางขวาแบบพรี(Root/Left/Right)
  3. postorder traversel หรือ Enorder จะทำการเยี่ยมโหนดในต้นไม้ย่อยทางซ้ายแบบ โพสออเดอร์ กอนเยี่ยมโหนดต้นไม้ย่อยทางขวาแบบ โพสออเดอร์ และเยี่ยมโหนดราก(Left/Right/Root)
ตัวอย่าง
  1. แบบอินออเดอร์ (Root/Left/Right) DB A  EG  C HFI
  2. แบบอินออเดอร์ (Root/Left/Right) ABD CEG FHI
  3. แบบอินออเดอร์  (Left/Right/Root) DB GE HIE

การสร้าง Enpression Tree

เป็นต้นไม้ที่สร้างขึ้นจากตัวกระทำ (operand)  และเคื่องหมาย (operators) ทางคณิตศาสตร์ของนิพจน์โดยการว่างตัวกระทำโหนดใบ(leave node) และว่างเครื่องหมายไว้ ที่โหนดภายใน
สำรับเครื่องหมายที่เป็นเครื่องหมายเดี่ยว (unary operator) จะมีกิ่งย่อยเพี่ยงต้นไม้เดี่ยว เรามักจะวาง เครื่องหมายเดี่ยวไว้ทางซ้ายของตัวกระทำ ซึ่งเครื่องหมายที่จัดเป็นเครื่องหมายเดี่ยว ได้แก่ Log() cos()
และมีเครื่องหมายเดี่่ยว ที่ถูกจัดวางไหว้ทางขวาของตัวกระทำ ได้แก่ แฟกทอเรียล ฟังก์ชัน เลกยกกำหลังต่างๆ
ตัวอย่าง แสดงการสร้างเอ็กเพรสชันทรีจากนิพจท์ (x-((Y/R)*D))
จะได้ว่า
  • การเยี่ยมโหนด แบบอินออเดอร์จะได้  X-Y/R*D  ซึ่งอยู่ในรูปอินฟิกฟอร์ม
  • การเยี่ยมโหนด แบบพรีออเดอร์จะได้  -X*/YRD   ซึ่งอยู่ในรูปพรีฟิกฟอร์ม
  • การเยี่ยมโหนดแบบโพสออเดอร์จะได้  XYR/D*-  ซึ่งอยู่ในรูปโพสฟีกฟอร์ม

















Tree

Posted by : Unknown 0 Comments

บทที่ 5

Queues Structure
การทำงานแบบคิวคือการมีการจัดลำดับการเข้าและออกข้อมูลอย่างเป็นลำดับ ข้อมูลใดเข้ามาก่อนก็จะดำเนินการก่อน  หากข้อมูลใดเข้ามาทีหลังก็จะดำเนินการทีหลัง เรียกลักษณะของการดำเนินการแบบนี้ว่า  First In First Out (FIFO) หรือเข้าก่อนออกก่อน

Queue

Posted by : Unknown
วันอังคารที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2560
0 Comments

บทที่  4

Stack

ลักษณะของสแตก Stack



          

  

สแตก เป็นโครงสร้างข้อมูลแบบเชิงเส้น
โครงสร้างข้อมูลที่จัดเก็บเป็นแบบเรียงลำดับต่อเนื่องกันไป
การเพิ่มหรือนำข้อมูลออกจากสแตกทำได้ที่จุดปลายของสแตกทางเดียว
มาทีหลังแต่ออกก่อน (Last In – First Out : LIFO)




ส่วนประกอบสำคัญของสแตก

                   1.ตัวชี้สแตก หรือ Stack Pointer เป็นตัวควบคุมการนำสมาชิกเข้า หรือออกจากสแตก เป็นตัวบอกว่าสแตกนั้นเต็มหรือยัง2.สมาชิกของสแตก หรือ Stack Element คือ สมาชิกของสแตก ซึ่งต้องเป็นข้อมูลชนิดเดียวกันทั้งหมด3.ค่าสูงสุดของสแตก หรือ Max Stack เป็นค่าที่บอกว่าสแตกนี้สามารถเก็บข้อมูลได้มากที่สุดเท่าไหร่
การสร้างสแตก Stack implement

สามารถสร้างสแตกด้วยการแทนที่ข้อมูลสแตกได้ 2 วิธี คือ
1.การสร้างสแตกด้วยอาร์เรย์ เป็นการจัดสรรเนื้อที่หน่วยความจำแบบ Static ซึ่งต้องมีการกำหนดขนาดของสแตกเพื่อใช้งานล่วงหน้า
2.การสร้างสแตกด้วยลิงค์ลิสต์ เป็นการจัดสรรเนื้อที่หน่วยความจำแบบ Dynamic โดยจะจัดสรรหน่วยความจำเมื่อมีการใช้งานจริงเท่านั้น และยังสามารถเก็บข้อมูลต่างชนิดกันได้

ฟังก์ชัน push stack

เป็นการทำงานของสแตกในการนำข้อมูลเข้าสู่สแตก โดยก่อนที่จะนำข้อมูลเข้านั้นต้องจัดการให้ตัวชี้ส
แตกให้ไปชี้ในตำแหน่งต่อไปของสแตกก่อน ซึ่งต้องเป็นช่องหรือตำแหน่งที่ยังว่างอยู่ แล้วจึงทำการ 
Push ข้อมูลลงไปในตำแหน่งที่ตัวชี้สแตกชี้อยู่

ตัวอย่างการ push stack




อัลกอริทึมในการ push stack

1.ตรวจสอบว่าสแตกเต็มหรือไม่ โดยเปรียบเทียบค่า Top กับขนาดของตัวแปรอาร์เรย์ที่ใช้เก็บ ถ้าไม่เต็ม ทำข้อ 2. ถ้าเต็ม ทำข้อ 4.
2.ขยับตำแหน่ง Top ไปยังตำแหน่งถัดไป (Top = Top +1)
3.ทำการนำค่าที่ได้มาเก็บไว้ยังตำแหน่งของ Top {push(value,stack);}
4.แจ้งผู้ใช้งานว่า สแตกเต็มไม่สามารถเก็บข้อมูลได้

จบการทำงา


อัลกอริทึม pop stack

1.ตรวจสอบว่าสแตกว่างหรือไม่ โดยเปรียบเทียบค่า Top ว่ามีค่าเท่ากับ -1 หรือไม่ ถ้าไม่ว่าง ทำข้อ 2. ถ้าว่าง ทำข้อ 4. isEmpty(stack)
2.ทำการดึงค่าในตำแหน่งของ Top ออกมาใช้งาน pop(stack)
3.ขยับตำแหน่ง Top ให้ถอยหลังลงมา (Top = Top-1) ไปทำข้อ 5.
4.แจ้งผู้ใช้งานว่า สแตกว่างไม่สามารถดึงข้อมูลไปใช้งานได้
5.จบการทงาน
กรณีข้อมูลแบบลิงค์ลิสต์
Begin
  IF Not EmptyStack(Stack) then
    Begin
    PopData := Stack^.Element;
  DisposeNode := Stack;
    Stack := Stack^.Next;
    Dispose(DisposeNode);
    End
  Else
    writeln(‘Stack Underflow’);
End;

เปรียบเทียบประสิทธิภาพของการสร้างสแตกด้วยอะเรย์และลิงค์ลิสต์

การแทนที่ข้อมูลสแตกด้วยอะเรย์ มีข้อจำกัด สำหรับขนาดของสแตกและจะต้องจองเนื้อที่เท่ากับขนาด
ที่ ใหญ่ที่สุดของสแตกไว้เลย เพราะเป็นการจัดสรรเนื้อที่ใน หน่วยความจำแบบสแตติก
การแทนที่ข้อมูลสแตกด้วยลิงค์ลิสต์ ไม่มี ข้อจำกัดของขนาดของสแตกและหน่วยความจำจะถูกใช้ก็ต่อ
 เมื่อมีข้อมูลจริงๆ แล้วเท่านั้น เพราะเป็นการจัดสรรเนื้อที่หน่วย ความจำแบบไดนามิก ซึ่งทำให้ประหยัดเนื้อที่ในหน่วยความ จำมากกว่า แต่การเขียนโค้ดสำหรับการแทนที่ข้อมูลสแตก ด้วยอะเรย์ง่ายกว่า
การแทนที่ข้อมูลด้วยลิงค์ลิสต์
ตัวอย่าง
เริ่มต้นสร้างสแตก S ขึ้นทำงานจะได้เป็นสแตกว่าง ไม่มีสมาชิกโดยตัวชี้สแตก Top ยังไม่มีค่า 
  [    ]    ===> S = {}   
    <---- Top (Top = -1)     
 นำค่า 'A' เข้ามาเก็บเป็นตัวแรกโดยใช้คำสั่ง push('A',S); ===> S = { 'A' }
 
    [       A ]<---- Top (Top = 0) // ได้มาจาก Top = Top +


การใช้สแตกเพื่อแปลงนิพจน์ Infix เป็น Postfix


ตัวดำเนินการ ก็คือ เครื่องหมายทางคณิตศาสตร์ สำหรับการคำนวณต่าง ๆ เรียงตามลำดับการดำเนิน
การก่อนหลัง (precedence) ได้แก่
  ยกกำลัง ^
  คูณ หาร * , /
  บวก ลบ + , -

ถ้าเครื่องหมายมีลำดับการดำเนินการเดียวกัน จะเลือกดำเนินงานของเครื่องหมาย จากซ้ายไปขวา
 (ยกเว้น ยกกำลัง) และถ้ามีวงเล็บจะดำเนินงานสิ่งที่อยู่ในวงเล็บก่อน
ข้อเสียของนิพจน์ infix ที่ทำให้คอมไพเลอร์ยุ่งยาก คือ ลำดับความสำคัญของโอเปอร์เรเตอร์
(Precedence) ที่ต่างกัน เช่น เครื่องหมายยกกำลัง (^) มีความสำคัญมากกว่า เครื่องหมายคูณ (*) และ
หาร (/) และเครื่องหมายคูณและหารมี ความสำคัญมากกว่าเครื่องหมายบวก (+) และลบ (-) 
เครื่องหมายใดมีลำดับความสำคัญมากกว่าจะถูกคำนวณก่อน (ถ้าไม่มีวงเล็บกำกับ)เช่น  A +  B * C 
เครื่องจะคำนวณ  B * C ก่อนแล้วนำผลลัพธ์นั้นไปบวกกับค่า A ซึ่งจะทำงานเหมือน กับ  A + (B * 
C)  ส่วนนิพจน์ใดที่มีโอเปอร์เรเตอร์ที่มีลำดับ ความสำคัญเท่ากัน การคำนวณจะกระทำจากซ้ายไป
ขวา เช่น  A – B + C จะทำ  A – B ก่อน  แล้วจึงนำผลลัพธ์นั้นไปบวกกับ ค่า  C
ข้อดีของนิพจน์ postfix คือเป็นนิพจน์ที่มีการคำนวณตาม โอเปอร์เรเตอร์ที่มาก่อนหลัง เช่น นิพจน์ 
ABC*+  หมายถึง ทำการคูณแล้วจึงทำการบวก ซึ่งคือต้องคำนวณ B*C ก่อน แล้วจึงนำผลลัพธ์นั้น
ไปบวกกับ A ต่อไป

กฎการแปลงนิพจน์ Infix, Postfix ด้วยมือ

ตัวอย่าง

1.ให้ใส่เครื่องหมายวงเล็บให้กับทุก ๆ นิพจน์ด้วยการคำนึงถึงลำดับการคำนวณ เช่น เครื่องหมายคูณ
และหารต้องมาก่อนเครื่องหมายบวกและลบ
2.ทำการเปลี่ยนสัญลักษณ์ Infix ในแต่ละวงเล็บให้มาเป็นสัญลักษณ์แบบ Postfix โดยให้เริ่มจาก
นิพจน์ที่อยู่ในวงเล็บในสุดก่อน จากนั้นก็ดำเนินการแปลงให้เป็นนิพจน์ Postfix ด้วยการย้ายโอเปอเร
เตอร์ตรงตำแหน่งวงเล็บนั้นไปยังตำแหน่งวงเล็บปิดของคู่นั้นๆ
3.ถอดเครื่องหมายวงเล็บทิ้งให้หมด

การนำสแตกมาใช้ในการแปลงนิพจน์ Infix,Postfix
1. ถ้าค่า input เป็น operand ให้นำค่าไปเป็น Output
2. ถ้าค่า input เป็น operator (เครื่องหมายคณิตศาสตร์) ให้
พิจารณาดังนี้
   2.1 ถ้า สแตกว่าง ให้นำ operator ใส่สแตก
   2.2 ถ้า สแตกไม่ว่าง ให้นำ operator ไปเปรียบกับค่า operator ตัวบน
ในสแตก ถ้าค่า operator ที่เป็น input มีค่า precedence น้อยกว่าหรือ
เท่ากับค่า operator ตัวบนของสแตก ให้ดึง operator ตัวบนในสแตกไป
เป็น output แล้วเปรียบเทียบกับ operator ในสแตกตัวถัดไป แล้วเปรียบ
เทียบเช่นเดียวกับก่อนหน้านี้  แต่ถ้า operator ที่เป็น input มีค่า
precedence มากกว่าค่า operator ตัวบนของสแตก  ให้นำค่า 
operator ที่เป็น input ใส่สแตก
3. ถ้า input เป็น ให้ใส่ลงสแตก
4. ถ้า input เป็น ) ให้ดึงข้อมูลออกจากสแตกทีละตัวไปเป็น output จน
กระทั่งพบ ( ในสแตก ให้ดึงออกมาทิ้งไป ไม่ต้องไปใส่เป็น output
5. ถ้า input หมด และสแตกยังมีข้อมูลอยู่ ให้ดึงข้อมูลออกจาก stack ที่ตัวไป
เป็น 
output จนกระทั่งสแตกว่าง

Stack

Posted by : Unknown 0 Comments

- Copyright © Data structure - Blogger Templates - Powered by Blogger - Designed by Johanes Djogan -